คือ ของเหลวหนืดสีน้ำตาลเข้มที่ได้จากกระบวนการผลิตน้ำตาล เป็นผลพลอยได้จากการต้มและตกผลึกน้ำตาลจากอ้อยหรือหัวบีท กากน้ำตาลมีรสหวานและมีสารอาหารที่หลากหลาย เช่น วิตามิน แร่ธาตุ และคาร์โบไฮเดรต จึงถูกนำไปใช้ประโยชน์ในหลายด้าน
ลักษณะและคุณสมบัติของกากน้ำตาล
สี : สีน้ำตาลเข้ม
เนื้อสัมผัส : หนืดและเหนียว
รสชาติ : หวานเข้มข้น
ส่วนประกอบหลัก: น้ำตาลซูโครส กลูโคส ฟรุกโตส และแร่ธาตุ เช่นโพแทสเซียม แคลเซียม และแมกนีเซียม
เพิ่มพลังงาน: กากน้ำตาลมีคาร์โบไฮเดรตสูง โดยเฉพาะน้ำตาลซูโครส กลูโคส และฟรุกโตส ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานที่ย่อยง่ายและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเจริญเติบโตของสัตว์
เพิ่มความน่ากิน: กากน้ำตาลมีรสหวานและกลิ่นหอม ช่วยกระตุ้นความอยากอาหารของสัตว์ ทำให้สัตว์กินอาหารได้มากขึ้น
ลดฝุ่นในอาหารสัตว์: เมื่อผสมกากน้ำตาลกับอาหารเม็ดหรืออาหารผง จะช่วยลดปัญหาฝุ่นฟุ้งกระจาย ทำให้อาหารจับตัวเป็นก้อนและจัดการได้ง่ายขึ้น
ช่วยในการย่อยอาหาร: กากน้ำตาลมีส่วนช่วยในการทำงานของระบบย่อยอาหาร โดยเฉพาะในกระเพาะรูเมนของสัตว์เคี้ยวเอื้อง เช่น วัว และแกะ ช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์
เป็นแหล่งแร่ธาตุ: กากน้ำตาลมีแร่ธาตุสำคัญ เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม โพแทสเซียม และเหล็ก ซึ่งจำเป็นต่อการเสริมสร้างสุขภาพและพัฒนาการของสัตว์
ลดต้นทุนอาหารสัตว์: กากน้ำตาลเป็นวัตถุดิบที่มีราคาถูกเมื่อเทียบกับแหล่งพลังงานอื่น ๆ จึงช่วยลดต้นทุนการผลิตอาหารสัตว์ได้
ช่วยในการเก็บรักษาอาหาร: กากน้ำตาลสามารถใช้เป็นสารยึดเกาะในกระบวนการผลิตอาหารหมัก (Silage) ช่วยรักษาคุณภาพและยืดอายุการเก็บรักษาอาหารสัตว์
การใช้กากน้ำตาลในปริมาณที่เหมาะสม จะไม่ทำให้สัตว์ได้รับพลังงานมากเกินจำเป็น และอาจเกิดปัญหาสุขภาพได้ เช่น โรคอ้วนหรือภาวะกรดในกระเพาะรูเมนเกิน (Ruminal Acidosis) ในสัตว์เคี้ยวเอื้อง
กากน้ำตาล (Molasses) มีประโยชน์อย่างมากในการเป็นส่วนผสมของปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยชีวภาพ เนื่องจากมีคุณสมบัติที่ช่วยส่งเสริมกระบวนการย่อยสลายและเพิ่มประสิทธิภาพของการหมัก ดังนี้:
1. เป็นแหล่งคาร์บอนและพลังงาน กากน้ำตาลมีน้ำตาลสูง เช่น ซูโครส กลูโคส และฟรุกโตส ซึ่งเป็นแหล่งคาร์บอนและพลังงานที่สำคัญสำหรับจุลินทรีย์ในกระบวนการหมัก ช่วยให้จุลินทรีย์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเร่งการย่อยสลายสารอินทรีย์ในปุ๋ยหมัก
2. กระตุ้นการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ น้ำตาลในกากน้ำตาลเป็นอาหารที่จุลินทรีย์สามารถใช้ได้ง่าย ช่วยเพิ่มจำนวนและกิจกรรมของจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในกระบวนการหมัก ทำให้การย่อยสลายวัตถุดิบเป็นไปอย่างรวดเร็วและสมบูรณ์
3. ปรับสมดุลคาร์บอนต่อไนโตรเจน (C/N Ratio) ในการทำปุ๋ยหมัก สัดส่วนคาร์บอนต่อไนโตรเจน (C/N Ratio) ที่เหมาะสม (ประมาณ 25:1 ถึง 30:1) เป็นสิ่งสำคัญ กากน้ำตาลมีคาร์บอนสูง จึงช่วยปรับสมดุล C/N Ratio เมื่อผสมกับวัตถุดิบที่มีไนโตรเจนสูง เช่น มูลสัตว์ หรือเศษพืช
4. ลดกลิ่นไม่พึงประสงค์ กากน้ำตาลช่วยลดกลิ่นเหม็นในกระบวนการหมัก โดยส่งเสริมการทำงานของจุลินทรีย์ที่ไม่ก่อให้เกิดกลิ่น และยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์
5. เพิ่มคุณค่าทางโภชนาการของปุ๋ย
กากน้ำตาลมีแร่ธาตุสำคัญ เช่น โพแทสเซียม แคลเซียม แมกนีเซียม และเหล็ก ซึ่งช่วยเสริมคุณค่าทางโภชนาการของปุ๋ยหมัก ทำให้ปุ๋ยมีคุณภาพดีขึ้นและเป็นประโยชน์ต่อพืชมากขึ้น
6. ช่วยรักษาความชื้น กากน้ำตาลมีลักษณะเป็นของเหลวหนืด ช่วยรักษาความชื้นในกองปุ๋ยหมัก ทำให้กระบวนการย่อยสลายเป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ
7. ใช้ในปุ๋ยชีวภาพ (จุลินทรีย์สังเคราะห์แสงหรือจุลินทรีย์อื่นๆ) กากน้ำตาลมักใช้เป็นส่วนผสมในปุ๋ยชีวภาพ เช่น การเลี้ยงจุลินทรีย์สังเคราะห์แสง (Photosynthetic Bacteria) หรือจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์อื่นๆ เพราะเป็นแหล่งอาหารที่ช่วยเพิ่มจำนวนและประสิทธิภาพของจุลินทรีย์เหล่านี้
1️⃣ ผสมกากน้ำตาลกับน้ำในอัตราส่วน 1:10 (กากน้ำตาล 1 ส่วนต่อน้ำ 10 ส่วน) แล้วราดลงบนกองปุ๋ยหมัก
2️⃣ ใช้ในปริมาณที่เหมาะสม (ประมาณ 1-2% ของน้ำหนักวัตถุดิบ) เพื่อไม่ให้กองปุ๋ยหมักมีความชื้นเกินไป
3️⃣ คลุกเคล้าให้เข้ากันเพื่อให้จุลินทรีย์ทำงานได้ทั่วถึง
หากต้องการให้ปุ๋ยหมักทำงานได้เร็วยิ่งขึ้น ให้หาผ้า หรือ กระสอบคลุม กองปุ๋ย จะทำให้ได้ปุ๋ยหมักเร็วขึ้น
การใช้กากน้ำตาลในปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยชีวภาพ เป็นวิธีที่ประหยัดและมีประสิทธิภาพ ช่วยเพิ่มคุณภาพของปุ๋ยและส่งเสริมการเกษตรอย่างยั่งยืน
ประโยชน์ของกากน้ำตาลสามารถใช้ได้ในหลายอุตสหกรรมเช่น ใช้ทำผงชูรส ใช้ทำกรดน้ำส้ม ซีอิ้วดำ ผลิตแอลกอฮอล์ ผลิตสุรา และใช้เป็นอาหารสัตว์
น้ำส้มสายชู: ได้จากการหมักกากน้ำตาล
ซีอิ๊วดำ: ทำจากซีอิ๊วขาวผสมกับกากน้ำตาล แล้วนำไปต้มจนได้ความเข้มข้นพอเหมาะ สามารถนำไปใช้สำหรับปรุงอาหาร
เหล้ารัม: เป็นสุรากลั่นที่ผลิตจากวัตถุดิบจำพวกน้ำอ้อย น้ำเชื่อมของน้ำผลไม้และกากน้ำตาล
เหล้ายิน: หรือ "ไดร์ยิน โดยการนำกากน้ำตาลที่ทำให้บริสุทธิ์ไปหมักและกลั่น
แอลกอฮอล์: โดยนำเอากากน้ำตาลมาทำให้เจือจางด้วยน้ำแล้วหมักโดยอาศัยเชื้อยีสต์เปลี่ยนน้ำตาลไปเป็นแอลกอฮอล์ จากนั้นก็นำมากลั่นแยกแอลกอฮอล์ออกซึ่งจะได้แอลกอฮอล์ที่มีความบริสุทธ์ประมาณ 95% ปริมาณแอลกอฮอล์ที่ได้แตกต่างกันไปตามคุณภาพของกากน้ำตาล ตลอดจนกรรมวิธีการผลิตแอลกอฮอล์ของโรงงานนั้น โดยกากน้ำตาลหนัก 1 ตันจะให้แอลกอฮอล์ประมาณ 238-340 ลิตร
กากน้ำตาล (Molasses) เป็นผลพลอยได้จากกระบวนการผลิตน้ำตาลที่มีศักยภาพสูงในการนำไปผลิตเป็นเชื้อเพลิงชนิดต่างๆ เนื่องจากมีองค์ประกอบหลักเป็นน้ำตาลที่สามารถผ่านกระบวนการหมักและแปรรูปได้ง่าย ประโยชน์ของกากน้ำตาลในการผลิตเชื้อเพลิงมีดังนี้:
การผลิตเอทานอล (Ethanol) กากน้ำตาลเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตเอทานอล ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงชีวภาพ (Biofuel) ที่สำคัญกระบวนการผลิตมีดังนี้:
การหมัก (Fermentation): น้ำตาลในกากน้ำตาล (เช่น ซูโครส กลูโคส และฟรุกโตส) ถูกย่อยสลายโดยยีสต์หรือจุลินทรีย์ให้กลายเป็นเอทานอลและคาร์บอนไดออกไซด์
การกลั่น (Distillation): เอทานอลที่ได้จากการหมักจะถูกแยกและทำให้บริสุทธิ์ด้วยกระบวนการกลั่น
การใช้ประโยชน์: เอทานอลจากกากน้ำตาลสามารถใช้เป็นเชื้อเพลิงในรถยนต์ (เช่น แก๊สโซฮอล์ E10, E20) หรือใช้ในอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น การผลิตสารเคมีและยา
การผลิตก๊าซชีวภาพ (Biogas) กากน้ำตาลสามารถใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตก๊าซชีวภาพผ่านกระบวนการย่อยสลายแบบไม่ใช้ออกซิเจน (Anaerobic Digestion) โดย:
จุลินทรีย์จะย่อยสลายสารอินทรีย์ในกากน้ำตาลให้กลายเป็นก๊าซมีเทน (CH₄) และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂)
ก๊าซมีเทนที่ได้สามารถใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับผลิตไฟฟ้า ความร้อน หรือใช้ในครัวเรือน
การผลิตไฮโดรเจน (Hydrogen)
กากน้ำตาลสามารถใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตไฮโดรเจน ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงสะอาดและมีศักยภาพสูง ผ่านกระบวนการต่างๆ เช่น:
การหมักด้วยจุลินทรีย์ (Microbial Fermentation): จุลินทรีย์บางชนิดสามารถผลิตไฮโดรเจนจากน้ำตาลในกากน้ำตาลได้
การแยกน้ำด้วยไฟฟ้า (Electrolysis): กากน้ำตาลสามารถใช้เป็นแหล่งคาร์บอนสำหรับกระบวนการแยกน้ำด้วยไฟฟ้า